การเริ่มทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมีคู่แข่งอยู่หลากหลายบริษัท ซึ่งสามารถสร้างรายได้อย่างมหาศาลเพียงเวลาไม่กี่ปี แต่ก็มีบางรายที่ล้มเหลวขาดทุน ดังนั้นจึงต้องมีการวางแผนให้ดี สำหรับการวางแผนให้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเติบโตได้ มีดังนี้
1.เลือกเจ้าของงาน ผู้รับเหมางานเอกชนต้องระมัดระวังให้มากๆกับการเลือกลูกค้า ควรศึกษาที่มาที่ไปลูกค้า ดูประวัติความน่าเชื่อถือ เคยเบี้ยวเงินผู้รับเหมาอย่างเราๆรึเปล่า ดูไปถึงสไตล์การทำงานของเจ้าของงานเดิมด้วย ว่าเมื่อเรารับช่วงต่อแล้วจะสามารถเก็บงานได้คุ้มหรือไม่ ดังนั้น การเลือกเจ้าของงานจึงกลายเป็น กฎเหล็กข้อแรก และทำสัญญาว่าจ้างก่อสร้างให้รัดกุมด้วย
2.เลือกรับงานแบบมีกำไร คิด BOQ ให้ครบ ตรงไปตรงมา เจ้าของบางคนอาจจะไม่เข้าใจโครงสร้างต้นทุนและความเสี่ยงมากมายของผู้รับเหมาก่อสร้าง เงินเดือนพนักงานและค่าใช้จ่ายสำนักงานของผู้รับเหมา ค่าน้ำค่าไฟ ค่าน้ำมัน เป็นต้น เจ้าของโครงการควรจะเลือกเราเพราะเรามีความพร้อม ทำงานคุณภาพดีและจบชัวร์ ไม่ใช่แค่เพราะราคาถูกที่สุด
3.การทำ Pre-Construction ข้อมูลจากทุกฝ่ายจะทำให้การวางแผนดีขึ้น คุยเป้าหมายและแผนงานด้วยกันทั้งเรื่อง เวลา ต้นทุน และคุณภาพ รวมทั้งคุยกันไปถึงเรื่องทำอย่างไรให้งานเสร็จเร็วกว่าแผน คุมงบประมาณให้ดี
4.การตั้งงบประมาณและควบคุมต้นทุนตั้งแต่เริ่มโครงการ มีทั้งการจ่ายออกไปเพื่อสั่งซื้อวัสดุ จ่ายค่าแรง จ้างผู้รับเหมาช่วง เงินสดย่อย ฯลฯ ทำให้มีโอกาสที่ต้นทุนจะพ้นสายตา กระเด็นกระดอนรอดหลุดจากการควบคุมได้ง่าย ผู้รับเหมาควรวางระบบเอกสารและวิธีการทำงานให้เหมาะสมเพื่อให้รวบรวมต้นทุนและค่าใช้จ่ายทุกรายการให้ได้ จะควบคุมต้นทุนให้อยู่ในกรอบที่วางไว้ได้ รู้ความเคลื่อนไหวและตัดสินใจได้ทันที่เมื่อใช้ต้นทุนเกินงบประมาณ ก็ต่อเมื่อบันทึกต้นทุนได้แบบเรียลไทม์วันต่อวัน
5.ต้องมีเงินทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 30% เพราะความโชคร้ายมีอยู่จริง ถ้าต้องพึ่งเงินงวดอย่างเดียวแล้วโชคร้ายเบิกงวดได้ช้าหรือเจ้าของงานจ่ายช้า จะทำให้หน้างานติดขัดทันที เมื่องานช้าต้นทุนของผู้รับเหมาจะสูงขึ้น แล้วนั่นล่ะคือกำไรที่ค่อยๆหายไป ในทางกลับกัน ถ้าเป็นผู้รับเหมาที่มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอที่จะทำงานต่อได้ระหว่างรอเบิกงวด งานก่อสร้างจะเป็นไปตามแผน
เทคนิคในการเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างที่ดี
การมีบ้านสักหลังคือความฝันของใครหลายคน เป็นปัจจัยหนึ่งในการดำรงชีวิต ดังนั้นการสร้างบ้านหนึ่งหลังต้องมีการเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างที่ดี เพื่อจำกัดงบไม่ให้บานปลาย และตรงกับความต้องการของเรามากที่สุด
บางครั้งผู้รับเหมาทิ้งงาน ไม่ทำงานให้เสร็จตรงตามเวลา หรือใช้วัสดุไม่ตรงกับงบที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งสร้างความเหนื่อยจให้แก่ผู้ว่าจ้างพอสมควร ดังนั้นการเลือกผู้รับเหมาจึงเป็นเรื่องที่ยาก วันนี้เราจึงมีเทคนิคในการเลือกผู้รับเหมาที่ดีมานำเสนอ
1.เช็คประวัติการจดทะเบียน หากเราเลือก ผู้รับเหมาที่จดทะเบียนพาณิชย์แล้ว ก็ทำให้เรามั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าเราจะไม่ถูกหลอก เพราะเรามีข้อมูลของผู้รับเหมา มีสถานที่ติดต่อและสามารถเอาผิดได้กรณีที่มีการทิ้งงาน
2.ดูว่ามีประวัติการทิ้งงานหรือไม่ ผู้รับเหมาที่ดีต้องไม่มีประวัติการทิ้งงาน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เราสามารถตรวจสอบผู้ทิ้งงานได้ที่เว็บไซต์ของกรมบัญชีกลาง หากผู้รับเหมาไม่ได้จดทะเบียน ก็ต้องตรวจสอบจากประวัติการทำงานที่ผ่านมาและผลงาน
3.ฟังเสียงตอบรับของลูกค้ารายอื่นๆ เราอาจขอให้ผู้รับเหมาแสดงผลงานที่ผ่านมา เพื่อให้เราตรวจสอบทั้งผลงานและเสียงตอบรับของผู้ที่เคยใช้บริการ หากมีเสียงตอบรับที่ดี ผลงานที่สร้างออกมามีคุณภาพ เราก็มั่นใจได้ว่าบ้านของเราจะต้องเป็นบ้านที่สร้างด้วยมาตรฐานที่ดี
4.ผลงาน ผู้รับเหมาที่มีมาตรฐานสามารถกล่าวอ้างถึงผลงานในอดีต สามารถพาชมผลงานที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบันได้โดยไม่ต้องปิดบัง และสามารถแนะนำให้พบกับลูกค้ารายก่อน ๆ ได้ด้วย
5.มีเอกสารสัญญา และแบบก่อสร้างที่ชัดเจน ใช้เป็นหลักฐานในแง่กฎหมาย และช่วยให้ทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายในการดำเนินงานร่วมกันที่ชัดเจน ลดการผิดพลาดในการทำงาน
6.ให้เรามีส่วนในการเลือกวัสดุ ผู้รับเหมาก่อสร้างบางเจ้าให้ลูกค้าเลือกวัสดุได้เอง ซึ่งช่วยให้สามารถคุมราคาค่าใช้จ่ายได้ และยังเลี่ยงการถูกโก่งราคา หรือลดงบประมาณการก่อสร้าง
นอกจากเทคนิคที่กล่าวมาแล้วทางผู้รับเหมาและผู้ว่าจ้างต้องมีความเข้าใจและมีมาตรฐานที่ตรงกัน สามารถสื่อสารพูดคุยกันรู้เรื่อง มองภาพงานออกมาในรูปแบบเดียวกันเพื่อให้ผลงานสำเร็จออกมาราบรื่น
สาระน่ารู้ เกี่ยวกับกลโกงรับเหมาก่อสร้าง เพื่อหาแนวทางและป้องกันได้ทันท่วงที
ปัญหาระหว่างผู้ว่าจ้างกับผู้รับเหมาก่อสร้าง ต่อเติม และออกแบบ เป็นปัญหาที่เกิดมายาวนานและเป็นปัญหาหลักของใครหลายๆคน ว่าจะเลือกผู้รับเหมาอย่างไรให้ได้ผู้รับเหมาที่ดี สำหรับกลโกงรับเหมาก่อสร้างที่พบได้บ่อยมีด้วยกัน คือ
– ผู้รับเหมาทิ้งงาน ปัญหาที่เจอกันเป็นประจำสำหรับผู้รับเหมาที่ทิ้งงานแล้วเชิดเงินหนี ทิ้งงาน ทำงานช้า ไม่เสร็จตามแผนที่วางเอาไว้มาก
– วัสดุก่อสร้างไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้ เป็นกรณีที่ผู้รับเหมาโกงวัสดุโดยเอาวัสดุเกรดต่ำกว่าที่ได้ตกลงกันไว้มาใช้ในการก่อสร้างต่อเติมไม่ตรงตามแบบที่ผู้ว่าจ้างต้องการ
– สัญญาคลุมเครือ ไม่ชัดเจน อาศัยช่องว่างทางกฎหมาย สัญญาจ้างที่ผู้รับเหมาส่วนใหญ่ร่างมาจะอาศัยช่องว่างทางกฎหมายเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ในชั้นศาลเมื่อเกิดการฟ้องร้องขึ้น ดังนั้นการทำสัญญาต้องทำด้วยความรอบคอบเพราะผู้ว่าจ้างอาจจะเสียเปรียบในกรณีที่ต่อสู้ในชั้นศาลได้
– เบิกเงินก่อนล่วงหน้า ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นประจำโดยผู้รับเหมาชอบอ้างว่าเงินไม่พอจะซื้ออุปกรณ์ ไม่พอสำหรับค่าใช่จ่ายสำหรับจ่ายค่าคนงานทำให้นายจ้างใจอ่อนยอมให้ผู้รับเหมาเบิกเงินล่วงหน้าไปก่อน เมื่อผู้รับเหมาได้เงินครบก็ทิ้งงานทันที
– ผู้รับเหมาเปลี่ยนทีมช่างชุดเดิม ในช่วงแรกผู้รับเหมาจะนำช่างที่มีประสบการณ์ทำงานเข้ามาทำงานทำให้ผู้ว่าจ้างเชื่อใจในฝีมือการทำงานว่าน่าจะทำออกมาได้ดี แต่หลังจากนั้นก็จะเปลี่ยนเอาช่างมือใหม่เข้ามาทำ ส่งผลให้งานที่ออกมาค่อนข้างล่าช้าไม่เสร็จตามกำหนด และไม่ปราณีตอย่าที่คิดเอาไว้
– ผู้รับเหมาไม่เข้าหน้างาน โดยปล่อยให้ลูกน้องทำไปเรื่อยๆไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องทำให้งานที่ออกมาอาจจะมีความคลาดเคลื่อน และคนงานอาจโกงได้
– ผู้รับเหมาขาดความรับผิดชอบ อย่างเช่น รับปากจะทำให้แต่เอาเข้าจริงๆกลับไม่ได้ทำ ติดต่อยาก ปิดมือถือ และอาจจะถึงขั้นทิ้งงานอีกด้วย
– โกงเงินมัดจำ ผู้รับเหมาบางรายจะเรียกเงินมัดจำก้อนแรกสูงๆ เมื่อได้เงินมัดจำไปแล้วก็ทิ้งงานทันทีหรืออาจจะทำงานช้า ไม่ค่อยเข้างานจนเราต้องเลิกจ้าง
– แก๊งหลอกลวงทาง Internet ปัจจุบันโลกออนไลน์เข้าถึงผู้คนมากขึ้นทำให้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหลายรายใช้ช่องทางออนไลน์ในการติดต่อทางธุรกิจ และมีผู้ว่าจ้างหลายคนที่ใช้สื่อออนไลน์ในการประกาศหาผู้รับเหมา ทำให้ตกเป็นเหยื่อของผู้รับเหมาที่ต้องการจะหลอกลวง ดูภายนอกอาจจะทำให้ดูน่าเชื่อถือ แต่สุดท้ายก็เชิดเงินหนีจะส่งผลกระทบต่อผู้ว่าจ้างทำให้ต้นทุนการก่อสร้างสูงกว่าความเป็นจริง
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการค้าวัสดุก่อสร้างในภาคใต้
การเติบโตของกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆในภาคใต้ได้เอื้อหนุนให้เกิดการลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และมีผลต่อเนื่องให้เกิดความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างเพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆที่เติบโตตามการขยายตัวของหัวเมืองเศรษฐกิจและหัวเมืองท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี กิจกรรมการค้าและการลงทุนที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคใต้ในปี 2557 ดังกล่าวข้างต้น กลับชะลอตัวลงจากปัจจัยหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นราคาพืชเศรษฐกิจ เช่น ยางพาราและปาล์มน้ำมัน ที่ยังอยู่ระดับต่ำ หรือจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังไม่ฟื้นตัวดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงส่งผลกระทบให้ภาคธุรกิจหลากหลายสาขาในภาคใต้ชะลอลง ซึ่งรวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการค้าวัสดุก่อสร้าง
การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะเกิดขึ้นปลายปี 2558 ผู้รับเหมา SMEs ในภาคใต้จึงควรเร่งหาแนวทางการปรับตัวเพื่อเตรียมความพร้อมและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งสรุปดังนี้ ผู้ประกอบการควรสร้างและรักษาพันธมิตรธุรกิจ: ผู้ประกอบการ SMEs ทั้งในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และการค้าวัสดุก่อสร้างในภาคใต้ ควรสร้างและรักษาพันธมิตรทางธุรกิจในภาคใต้และภูมิภาคอื่นๆ เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม และสร้างฐานลูกค้าใหม่ในภูมิภาคอื่น โดยอำนวยความสะดวกในการขยายตลาดไปยังพื้นที่ต่างๆ นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการ SMEs อาจเจรจาต่อรองค่างานรับเหมาก่อสร้าง/ราคาวัสดุก่อสร้างล่วงหน้าหรือทำสัญญาล่วงหน้ากับคู่ค้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากที่ราคาวัสดุก่อสร้างประเภทต่างๆปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้รวมถึงวัสดุก่อสร้างบางรายการที่เป็นสินค้านำเข้าในภาวะที่อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวน ซึ่งผู้รับเหมาก็อาจทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ผ่านการซื้อ/ขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า
– ผู้ประกอบการควรรักษาความน่าเชื่อถือทางการเงิน: เนื่องจากประวัติการชำระเงินเป็นปัจจัยสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงสภาพคล่องทางการเงินของธุรกิจ ดังนั้นผู้ประกอบการ SMEs จึงควรรักษาประวัติชำระหนี้ที่มีต่อสถาบันการเงิน ผู้รับเหมาก่อสร้าง และผู้จำหน่ายวัสดุก่อสร้าง
– ผู้ประกอบการควรพัฒนาแรงงานทั้งระดับบนและล่างให้มีประสิทธิภาพ: ผู้ประกอบการ ควรเริ่มพัฒนาแรงงานทั้งระดับบนและล่างให้มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาด้านภาษาและฝีมือแรงงานให้ได้ตามมาตรฐาน เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาคใต้ ภายหลังการเปิดเสรีตามกรอบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558
– ผู้ประกอบการควรศึกษากฎระเบียบการลงทุน: สำหรับผู้ประกอบการที่จะลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้าน ควรศึกษากฎระเบียบและสิทธิประโยชน์ที่มีต่อนักลงทุนต่างชาติให้ละเอียดถี่ถ้วน เพื่อนำมาใช้เป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจก่อนการลงทุนและป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนต่างถิ่น
แนวโน้มธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ในลาว
ประเทศลาวกำลังมีการพัฒนาในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เช่นการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าหลายแห่งทั่วประเทศและการสร้างนิคมอุตสาหกรรมรวมทั้งส่งเสริมการลงทุนต่าง ๆ จึงทำให้มีโครงการก่อสร้างรวมทั้งการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ เป็นจำนวนมากจากการสำรวจนครหลวงเวียงจันทน์ คือไม่ค่อยมีร้านค้าที่จำหน่ายวัสดุก่อสร้างอาจมีสาเหตุมาจากผู้รับเหมานำสินค้าและวัสดุก่อสร้างจากเมืองไทยเข้าไปใช้ก่อสร้างเมื่อพิจารณาจาก GDP ภาคการก่อสร้างของประเทศลาว พบว่ามีมูลค่าสูงถึง 11,000 ล้านบาท ในปี 2553 ซึ่งมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆการลงทุนต่าง ๆ เข้ามายังประเทศลาว เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลที่ทำให้ภาคการก่อสร้างในประเทศลาว มีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมากเมื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างมีการเติบโต สิ่งที่ตามมาคือโอกาสสำหรับธุรกิจวัสดุก่อสร้างต่างๆ ซึ่งปัจจุบันการทำธุรกิจประเภทนี้ไม่หลากหลายมากนักโดยสินค้าที่จำหน่ายในร้านส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศไทยและจีน นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการในจังหวัดหนองคายที่ให้บริการขายวัสดุก่อสร้างและจัดส่งไปยังประเทศลาวด้วยจะเห็นได้ว่า การเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งภาคการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ในประเทศลาว เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักธุรกิจในการที่จะเข้าไปดำเนินธุรกิจร้านค้าวัสดุก่อสร้างในประเทศลาว โดยจากการศึกษาความต้องการของผู้บริโภคชาวลาวต่อแหล่งที่มาของสินค้าสิ่งที่จะเป็นกลยุทธ์ในการแข่งขัน ประกอบไปด้วยด้านราคา เนื่องจากคู่แข่งขายสินค้าในราคาค่อนข้างสูง เพราะไม่มีคู่แข่งรายอื่นมากนัก นอกจากนี้ควรวางแผนเรื่องของสินค้าคงคลังและการนำเข้าให้รัดกุม เนื่องจากอาจประสบปัญหาไม่สามารถนำเข้าสินค้าได้ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการในบางช่วง หากผู้ประกอบการคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ย่อมช่วยให้ผู้ประกอบการได้เปรียบทางการแข่งขันได้
ฉะนั้นหากผู้ประกอบการธุรกิจก่อสร้างกำลังมองหาตลาดในด้านนี้อยู่ ประเทศลาวก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะการก่อสร้างในประเทศลาวมีการเติบโตเป็นอย่างมาก อาจจะส่งผลให้ธุรกิจการรับเหมาก่อสร้าง หรือ จำหน่ายวัสดุก่อสร้าง มีแนวโน้มที่เติบโตไปอย่างมาก ทั้งนี้ผู้ประกอบการควรจะศึกษาข้อมูลของประชาชนในประเทศลาวก่อนว่ามีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง เพื่อจะทำให้ธุรกิจนั้นสามารถเจริญเติบโตไปได้อย่างก้าวขวาง
คาดตลาดรับสร้างบ้านปี 2558 มีมูลค่าเติบโตขึ้น
ธุรกิจรับสร้างบ้าน เป็นภาคส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการปลูกสร้างบ้านของผู้บริโภค ซึ่งผู้บริโภคย่อมคาดหวังว่าจะได้บ้านที่มีคุณภาพมาตรฐาน และมีราคาต้นทุนการก่อสร้างที่สามารถยอมรับได้ วันนี้ธุรกิจรับสร้างบ้านมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยเพราะสามารถรองรับความต้องการด้านการออกแบบ และการจัดวางพื้นที่ใช้สอยได้ตามความพึงพอใจของลูกค้า มีความสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า อีกทั้งธุรกิจนี้ไม่ได้รองรับเฉพาะเพียงแค่ลูกค้าที่ต้องการปลูกสร้างบ้านใหม่เท่านั้น หากแต่ยังสามารถรองรับกลุ่มลูกค้าในส่วนที่ต้องการซ่อมแซม ปรับปรุง และขยับขยายพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านเดิมให้กว้างขวางขึ้น ทำให้ฐานลูกค้าของธุรกิจนี้มีแนวโน้มการเติบโตทางการตลาดที่ดี
ปี 2557 นับเป็นอีกปีหนึ่งที่ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านต้องเผชิญต่อปัจจัยลบรอบด้าน และรุนแรง ทั้งความต้องการสร้างบ้านและกำลังซื้อผู้บริโภคที่ชะงักลง แรงงานขาดแคลนรุนแรง สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ และค่าจ้างแรงงานที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ในขณะที่ภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านกลับมีการแข่งขันราคากันต่อเนื่อง ฯลฯ ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการรายเล็กที่ไม่มีการรวมตัว หรือสร้างเครือข่ายไว้ก็ยิ่งแข่งขันกับรายผู้นำตลาด หรือรายใหญ่ยากมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหาขาดแคลนแรงงานทีมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสมาคมฯ วิเคราะห์ว่าการจ้าง หรือใช้แรงงานต่างด้าวมาทดแทนแรงงานคนไทยนั้นไม่อาจแก้ไขปัญหาได้อย่างถาวร เหตุเพราะในอนาคตแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้จะเริ่มทยอยกลับคืนถิ่น ฉะนั้น แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการรับสร้างบ้านที่ดีที่สุดคือ ควรเลือกหาเทคโนโลยีก่อสร้างที่ลดการพึ่งพาแรงงานลง
สำหรับปี 2558 ประเมินแนวโน้มตลาด “บ้านสร้างเอง” ทั่วประเทศคาดว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวตามทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศ โดยคาดว่าจะมีความต้องการสร้างบ้านเองทั่วประเทศใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ในส่วนปริมาณ และมูลค่าตลาดรวม “รับสร้างบ้าน” นั้นมีโอกาสเติบโตได้ตามกัน โดยสมาคมฯ แยกประเมินตลาดรับสร้างบ้านออกเป็น 2 ตลาดหลักๆ ได้แก่ 1.ตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และ 2.ตลาดรับสร้างบ้านในเขตต่างจังหวัด ทั้งนี้ สมาคมฯ คาดว่าตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัดน่าจะเป็น “ดาวรุ่ง” โดยเฉพาะเมื่อผู้ประกอบการทั้งรายเดิม และรายใหม่ต่างขยายการให้บริการสร้างบ้านครอบคลุมพื้นที่ต่างจังหวัดของประเทศมากขึ้น ซึ่งภูมิภาคที่น่าจับตาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ในส่วนของตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลนั้นมองว่าความต้องการสร้างบ้าน และกำลังซื้อจะยังทรงตัว หรือเติบโตเพียงเล็กน้อย โดยปัจจัยหลักๆ ที่ส่งผลกระทบเกิดจากที่ดินเปล่าลดน้อยลง และมีราคาแพง ฯลฯ ทำให้การสร้างบ้านเดี่ยวส่วนใหญ่ย้ายออกสู่จังหวัดใกล้เคียง เช่น ชลบุรี อยุธยา นครปฐม สมุทรสาคร ราชบุรี สุพรรณบุรี เป็นต้น
ตลาดรับสร้างบ้านอีกหนึ่งภูมิภาคที่น่าจับตาคือ ภาคใต้ ซึ่งในปี 2557 พบว่า ความต้องการสร้างบ้าน หรือกำลังซื้อชะลอตัวลงจากปัจจัยที่มีผลกระทบ ได้แก่ ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ ซึ่งอันที่จริงแล้วผู้บริโภคส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้นิยมใช้เงินออมสำหรับการสร้างบ้านหลังใหม่มากกว่าการกู้ยืม แต่ด้วยเพราะความไม่เชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ และรายได้ในอนาคต จึงทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจสร้างบ้าน หรือที่อยู่อาศัยไว้ก่อน
ดังนั้น ในปี 2558 หากรัฐบาลปัจจุบัน หรือรัฐบาลใหม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ก็เชื่อว่า ปริมาณ และมูลค่ารวมตลาดรับสร้างบ้านในภาคใต้ก็จะฟื้นตัวได้เช่นกัน ด้วยเพราะหลายจังหวัดเป็นเมืองท่องเที่ยว และเมืองการค้าที่สำคัญ เช่น สุราษฎร์ธานี สงขลา ภูเก็ต กระบี่ เป็นต้น
ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องยังเป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีผลโดยตรง ต่อเศรษฐกิจ
คงเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธว่าอุตสาหกรรมก่อสร้าง เป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง และมีเม็ดเงินหมุนเวียนหลายแสนล้านบาทต่อปี ทำให้รัฐบาลพยายามผลักดันและส่งเสริมให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน แต่เมื่อพิจารณาถึงแนวทางและนโยบายการดำเนินงาน ในภาพรวม จะพบว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยยังขาดความชัดเจนและแผนยุทธศาสตร์ที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง เพราะขาดการกำกับดูแลอย่างเป็นระบบ ทำให้หน่วยงานหรือองค์กรที่จะเข้ามารับผิดชอบอุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศไทยมีความจำเป็นมากขึ้นทุกขณะ เพื่อสร้างรากฐานให้งานก่อสร้างในประเทศไทยมีศักยภาพเทียบเท่ากับนานาประเทศได้
อุตสาหกรรมก่อสร้าง เป็นอุตสาหกรรมที่มีอิทธิพลต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศสูง โดยที่ตัวเลข GDP หรืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเกือบ 10% เป็นอัตราการเติบโตจากการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยคาดว่าในปี พ.ศ. 2547 อุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศไทยจะมีอัตราการเติบโต กว่า 10% วงเงินในการลงทุนก่อสร้างไม่ต่ำกว่า 5-6 แสนล้านบาท ซึ่งวงเงินลงทุนดังกล่าวเป็นอัตราการขยายตัวในการ ลงทุนด้านก่อสร้างเพิ่มมากขึ้นถึง 17% ของภาคเอกชนและ 16% สำหรับภาครัฐ
อีกทั้งภาพของอุตสาหกรรมการก่อสร้างในประเทศไทย ในช่วงระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนแปลงไปจากจำนวนผู้ที่ได้รับการอนุมัติการก่อสร้างทั้งหมด โดยพบว่า ส่วนใหญ่อยู่นอกเขตเทศบาล เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ได้รับการอนุมัติการก่อสร้างที่อยู่นอกเขตเทศบาลทั้งสิ้น 62% และภาคใต้ก็มีผู้ได้รับการอนุมัติการก่อสร้างนอกเขตเทศบาล 52% เป็นต้น ดังนั้น จะเห็นได้ว่า Momentum ของการก่อสร้างในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไป
เมื่อภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีผลโดยตรง ต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ ความสำคัญของการมีองค์กรหรือหน่วยงานเพื่อบริหารจัดการอุตสาหกรรมก่อสร้างของประเทศไทยจึงเป็นสิ่งที่ต้องตระหนักถึงอย่างจริงจัง ซึ่งหากพิจารณาถึงความเหมาะสมของการมีหน่วยงานหรือองค์กร เพื่อรับผิดชอบดูแลภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างของประเทศไทยแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความเกี่ยวข้องของหน่วยงานอื่นๆ ด้วย เนื่องจากประเทศไทยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมก่อสร้างหลายหน่วยงาน ดังนั้น การมีหน่วยงานที่ต้องเข้ามารับผิดชอบและกำกับดูแลอย่างจริงจัง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐจะต้องเข้ามาร่วมกำกับดูแล เพื่อประสานงาน ระหว่างหน่วยงาน เช่นเดียวกับแนวทางการดำเนินงาน ในปัจจุบัน ที่ภาครัฐได้แบ่งเป็น Cluster ของกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกัน
ทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้างในไทย
ธุรกิจงานก่อสร้าง เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อประเทศไทยมาก ช่วยในการพัฒนาประเทศในหลายๆด้าน เช่น การสร้างที่อยู่อาศัย โรงงาน ถนน สะพาน เป็นต้น และมีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น อีกทั้งในประเทศจีน และประเทศอินเดียได้ให้ความสำคัญกับการยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้าง รวมทั้งในบางประเทศมีการจัดตั้งหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างโดยเฉพาะ และในประเทศที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ยังใช้อุตสาหกรรมก่อสร้างในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้เดินไปข้างหน้า
ประเทศไทยมีศักยภาพด้านงานก่อสร้างแบบครบวงจรเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆในอาเซียน เพราะ มีการแปรรูปวัตถุดิบในการผลิตวัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบสถาปัตยกรรม การติดตั้งระบบควบคุมสมัยใหม่ และมีความเชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งอุตสาหกรรมของตกแต่ง เช่น อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้ายังได้รับความนิยม นอกจากนี้อุตสาหกรรมก่อสร้างของไทยยังได้ไปลงทุนในต่างประเทศ เช่น ในประเทศดูไบ ประเทศอินเดีย ประเทศจีน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ประเทศพม่า ประเทศลาว ประเทศเวียดนาม แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมการก่อสร้างของไทยยังมีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดมากขึ้น ทั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายๆฝ่ายด้วย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจไปในทิศทางเดียวกัน
ที่ผ่านมาแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้าง ได้กระจัดกระจายออกไปในหน่วยงานต่างๆ มาตรฐานที่ใช้ในการควบคุมก็แตกต่างกันออกไป จึงไม่สามารถปฏิเสธไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศมาโดยตลอด ถึงแม้รัฐจะให้ความสำคัญน้อยกว่าอุตสาหกรรมด้านอื่นๆก็ตาม จะเห็นได้จากที่ไม่มีหน่วยงานใดให้การสนับสนุนทางด้านนี้โดยตรง ทั้งๆที่อุตสาหกรรมต่างๆมีส่วนในการพัฒนาเศรษฐกิจ และมีโอกาสขยายตัวเรื่อยๆ ทางรัฐจึงควรผลักดันอุตสาหกรรมก่อสร้างให้มีความน่าเชื่อถือ และรัฐควรให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนสำรองทั้งในประเทศและนอกประเทศ ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง
ถึงแม้ว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย จะมีโอกาสเติบโต ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ เนื่องจากเกิดการเก็งกำไรของอสังหาริมทรัพย์ และเกิดจากปัญหาทางการเงินในอดีต จึงทำให้อุตสาหกรรมไม่ได้รับการสนับสนุนจากทางภาครัฐ และสถาบันทางการเงินอย่างที่ควรจะเป็น
การก่อตั้งสมาคมรับเหมาก่อสร้าง ช่วยกำหนดมาตรฐานการให้บริการแก่ผู้บริโภค
ธุรกิจรับก่อสร้างในอดีตพบว่ามีหลายสิ่งได้มีการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะกับข้อสงสัยของผู้บริโภคที่ว่า “รับสร้างบ้าน” กับ “ผู้รับเหมารายย่อย” นั้นแตกต่างกันอย่างไร จึงทำให้มีผู้จัดตั้งสมาคมขึ้น เพื่อให้บรรดาผู้รับเหมาก่อสร้างต่างๆร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพื่อจำกัดนิยามของ “บริษัทรับสร้างบ้านมืออาชีพ” ว่าจะต้องมีองค์ประกอบสำคัญๆ อะไรบ้าง ที่ผู้บริโภคจะสามารถเปรียบเทียบและแยกแยะถึงความแตกต่างของทั้ง 2 กลุ่ม
ตลาดของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเติบโตขึ้นมากจากเมื่อสิบปีที่แล้ว โดยรายได้ตกอยู่ที่ปีละ 2-3 พันล้านบาท แต่ในปัจจุบันกลับพุ่งสูงถึงปีละ 1 หมื่นล้านบาท และยังมีแนวโน้มที่จะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรวมตัวของสมาคมของกลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านและวัสดุก่อสร้าง ซึ่งมีความโดดเด่นในการกำหนดมาตรฐานการให้บริการ เพื่อให้ไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมกับช่วยกันทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องเผชิญกับผู้รับเหมาที่ขาดความรับผิดชอบ เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาตลอด
สมาคมรับเหมาก่อสร้างถูกก่อตั้งขึ้นมา 4 ปีแล้ว หนึ่งในภารกิจหลักๆ ที่สมาคมฯ พยายามผลักดันและดำเนินการมาโดยตลอดก็คือ “การสร้างและขยายโอกาส” ทั้งนี้ เพื่อจะขยายตลาดให้ผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกกว้างขึ้น โดยเฉพาะตลาดที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ มองข้ามหรือทำไม่ได้นั่นก็คือ “ตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัด” ที่มีมูลค่าทางการตลาดที่สูงและมีการเติบโตอย่างมาก ซึ่งเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมีการเติบโตอยู่ต่อเนื่อง ไม่ได้มีเพียงแต่ผู้ประกอบการ SME รายเล็กหรือธุรกิจภายในครอบครัวเท่านั้น ในอนาคตอาจมีการขยายไปสู่อุตสาหกรรมที่มีผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดใหญ่ เข้ามาแข่งขันกันมากขึ้น อย่างไรก็ตามทางด้านผู้ประกอบการรายเดิมควรมีการพัฒนาธุรกิจของตนเองให้แข่งขันอับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่จะมีในอนาคต แน่นอนว่าผู้ประกอบการรายใหญ่มีความแข่งแกร่งในด้านการลงทุนที่มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเงินทุน กระบวนการผลิต ชื่อเสียงที่ผู้บริโภคต่างในการยอมรับ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้ประกอบการรายเล็กจะสามารถแข่งขันได้เท่าเทียม จึงควรมีการพัฒนาศักยภาพของธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ
สังเกตได้ว่าผู้ประกอบการรายใหม่ๆมีธุรกิจรับสร้างบ้านที่มีสถานประกอบการอยู่ในต่างจังหวัด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเริ่มมีผู้บริโภคนิยมสร้างบ้านอยู่ในต่างจังหวัดมากขึ้น ทำให้ลดต้นทุนที่จะจ้างผู้รับเหมาในกรุงเทพ ถึงแม้จะมีฝีมือมากกว่าผู้รับเหมาะรายเล็กที่อยู่ตามต่างจังหวัดก็ตาม
แนวโน้มธุรกิจการก่อสร้างในปัจจุบัน
ธุรกิจก่อสร้างจัดเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของเศษฐกิจและสังคมของประเทศเป็นอย่างมาก เพราะเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศด้วย จากการรุกตลาดของต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการด้านธุรกิจก่อสร้างหลายรายยังประสบกับปัญหา ด้านเงินทุนหมุนเวียดและ เสียเปรียบด้านภาษา ทั้งนี้ผู้ประกอบด้านธุรกิจก่อสร้างมีความเกี่ยวพันกับเศรษฐกิจที่ค่อนข้างชัดเจน เนื่องจากธุรกิจก่อสร้างทำให้เกิดการจ้างงานเป็นจานวนมาก เช่น ต้องจ้างคนงานก่อสร้างทุกระดับชั้น ไม่ว่าจะเป็น วิศวกรสถาปนิก รวมทั้งธุรกิจค้าขายวัสดุก่อสร้างประเภทต่างๆ
ซึ่งสิ่งที่จะช่วยให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนคือการระบุให้มีการจ้างคนงานในพื้นที่ สละการก่อสร้างควรจะเป็นไปในทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสิ่งที่ทางภาคธุรกิจก่อสร้างกังวล คือจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากค่าจ้างงาน ค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าราคาเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น โดยต้องพัฒนาการบริหารจัดการธุรกิจให้มีสภาพที่คล่องและเพิ่มประสิทธิภาพ มีการพัฒนาบุคลากร และเทคนิคในการก่อสร้าง ซึ่งจะสามารถลดระยะเวลาการก่อสร้างและลดต้นทุนการก่อสร้างได้อีกด้วย ดังนั้สิ่งที่นักธุรกิจก่อสร้างจะต้องระวัง คือจะต้องเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้
ฉะนั้นแล้วสิ่งสำคัญอื่นๆที่มีผลต่อทิศทางของธุรกิจก่อสร้างคือการเปิดเสรีภาคบริการ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาวะการแข่งขันจากการไทยจะต้องเปิดตลาดมากขึ้นให้แก่ผู้ให้บริการด้านการก่อสร้างและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างถึงแม้ว่าผู้ประกอบการจะมีโอกาสเข้าถึงตลาดของต่างประเทศมากกว่า แต่ยังต้องมีการเร่งปรับศักยภาพและนำระบบเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ จึงเป็นแนวทางที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อรับมือการแข่งขันที่จะสูงขึ้น โดยการหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อช่วยขยายช่องทางให้บริษัทนั้นขยายโอกาสทางตลาดในต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น
จะเห็นได้ว่าธุรกิจการก่อสร้างนั้นมีแนวโน้มที่จะมีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีผู้ประกอบการต่างประเทศเข้ามาลงทุนทำธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับศักยภาพ และเตรียมตัวรับมือกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น เพื่อที่จะทำให้ธุรกิจการก่อสร้างนั้นสามารถที่จะเจริญรุ่งเรื่องต่อไปได้รวมทั้งยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับประเทศได้อีกทางหนึ่ง
ธุรกิจรับก่อสร้าง
เนื่องจากปัจจุบันมีการก่อสร้างอาคารบ้านเรื่อนรวมไปถึงคอนโดต่างๆขึ้นมามากมายแต่สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยถ้าหากว่าไม่มีบริษัทรับเหมาก่อสร้างเข้ามารับงานในโครงการต่างๆแล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าการจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้างมาทำโครงการใหญ่จะมีขั้นตอนอย่างไร
เป็นที่เราทราบกันดีว่าในประเทศไทยเรานี่มีการก่อตั้งบริษัทรับก่อสร้างขึ้นจำนวนมากมายแต่ที่เราเห็นกันบ่อยๆกับงานหรือโครงการใหญ่ๆก็จะเป็น บริษัท ช.การช่าง จำกัด มหาชน ที่เป็นผู้ที่รับโครงการไปโดยธรรมชาติของการรับเหมาโครงการใหญ่ๆในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นของรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจก็จะมีการประมูลงานกันโดยเป็นการยื่นซองเพื่อเป็นการเสนอราคาเช่นเดียวกันกับการประมูลสัญญานโทรศัพท์แบบ 3Gคือให้ที่มีการยื่นจำนวนมากก็จะได้โครงการเหล่านั้นไป หรือบางครั้งบริษัทที่เป็นเจ้าของโครงการก็จะมีบริษัทก่อสร้างที่เป็นเจ้าประจำอยู่แล้วก็จะเป็นการว่าจ้างบริษัทประจำนั้นๆเพื่อมารับโครงการการก่อสร้างนั้นไปทันทีโดยมิต้องมีการยื่นซองประมูลกันแบบโครงการของรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจนั่นเองคราับ